ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ดีเป็นพักๆ

๑๕ ก.พ. ๒๕๖๓

ดีเป็นพักๆ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “หัดทำ ๓”

กราบนมัสการหลวงพ่อ ตอนนี้โยมปฏิบัติแล้วติดปัญหาครับ แต่ก่อนถามโยมจะเล่าถึงว่าโยมปฏิบัติอย่างไรก่อนนะครับ

โยมดูลมหายใจเข้าพุท ออกโธ แล้วเริ่มสงบเบาลง ก็ลองออกใช้ปัญญา เห็นลางๆ ว่า ร่างกายละลายเหมือนขี้ผึ้ง ละลายเหลือแต่โครงกระดูก และโครงกระดูกก็สลายแตกกลับลงเป็นดินครับ เหลือแต่ตัวรู้ รู้ลมควบคู่กับพุทโธโดยอยู่ในโครงสร้างร่างกายแบบเหมือนเงาครับ และโยมก็จับจุดอยู่ที่ผู้รู้ที่อยู่กลางโครงเงานั้น อยู่โดยมีสติรู้อยู่กับผู้รู้ เวลาผู้รู้ส่งออกคิดเรื่องใดก็พยายามตัดกระแสที่คิดออกไปและตามด้วยว่า มันไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ตัดความคิดไปเรื่อย

เริ่มคิดน้อยลง เห็นอยู่กับผู้รู้ รู้ลมกับพุทโธได้นานขึ้น แต่ก็คิดได้ว่า ผู้รู้ที่รู้ลมมันก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน เพราะมันก็ดับจากลมไปส่งออกไปคิด เลยคิดว่าใช้ขวานฟันดวงผู้รู้นั้นให้แตก แล้วก็ไปเจอดวงผู้รู้ที่อยู่ด้านในอีกชั้น

เวลาคิดส่งออกก็ทำลักษณะนี้ ทำลายดวงผู้รู้เป็นชั้นๆ ไปเรื่อยๆ จนนิ่งมากขึ้นอีกครับ และเห็นเป็นเหมือนพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิอยู่ในดวงผู้รู้เวลาภาวนาพุทโธ ตอนนี้ดวงผู้รู้ไม่ได้อยู่ในโครงเงาของร่างกาย แต่อยู่ในอากาศ และเวลาลุกเดินจงกรมโดยเพ่งที่ดวงผู้รู้พร้อมภาวนาพุทโธ ก็ยังเห็นเหมือนโยมเดินตามหลังพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าเหมือนรูปปกในหนังสือสวดมนต์ครับ)

โยมขอถามหลวงพ่อเลยนะครับ

๑. เวลาโยมภาวนาแล้วกำหนดให้ผู้รู้รู้ลมพร้อมพุทโธ แต่เห็นเป็นพระพุทธเจ้านั่งสมาธิในดวงพุทโธได้ไหมครับ หรือนึกพุทโธธรรมดาครับ

๒. ถ้าโยมใช้กำหนดผู้รู้อยู่กับพุทโธ และเวลาคิดส่งออกหรือเจอเวทนาหรืออารมณ์ โยมใช้กำหนดว่าอนิจจังไม่เที่ยงตลอด และกลับมาที่พุทโธไปเรื่อยๆ โดยไม่คาดหวังผลที่จะได้ ใช้วิธีนี้ไปตลอดได้ไหมครับ โยมขอรบกวนหลวงพ่อ ๒ ข้อ

ตอบ : อันนี้การภาวนาเนาะ ถ้าพูดถึงผลของการภาวนา โยมพยายามขออธิบายถึงผลของการปฏิบัติก่อน เวลาผลของการปฏิบัตินะ ถ้าผลของการปฏิบัติ การปฏิบัติเริ่มต้นถ้ามันปฏิบัติแล้วได้ผล การปฏิบัติแล้วถ้าจิตมันสงบระงับ มันมีความสุข นี่มันเป็นผลของการปฏิบัติ

แต่เวลาคนทุกข์คนยากเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันปฏิบัติแล้วมันไม่ได้ผล เวลาไม่ได้ผลขึ้นมาก็พยายามแสวงหา พอพยายามแสวงหาแล้ว วิธีการประพฤติปฏิบัติมันก็มีหลากหลาย เวลามีหลากหลาย ในแนวทางการปฏิบัติ ถ้าเวลาหลากหลาย ปฏิบัติไปแล้วถ้าจิตใจของเราไม่มั่นคงมันก็ไหลไปตามนั้นน่ะ นี่พูดถึงว่าอาการไหลไปตามกิเลสนะ เวลากิเลสเป็นอุปาทาน เป็นอุปาทานเป็นการสร้างภพได้ร้อยแปด

ฉะนั้น เวลาการที่จะประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในรัตนตรัยแล้ว อย่างอื่นเราวางไว้ให้หมด

ถ้าอย่างอื่นไม่วางไว้ ในแนวทางประพฤติปฏิบัติในหลายๆ แนวทาง เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์เวลารู้สิ่งใดเห็นสิ่งใดก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ถ้าสิ่งนั้นเป็นธรรม มันเป็นอุปาทานก็ได้ เป็นจินตนาการก็ได้ เป็นความรู้สึกนึกคิดของคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาก็ได้ เพราะอะไร

การศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครๆ ก็ศึกษามา เวลาการศึกษามาจนเขาจบ ๙ ประโยค เขาไปถามหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง แล้วก็เป็นการสืบทอดกันมาไง

“ผมเรียนจบ ๙ ประโยค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสิ่งใดวิธีการอย่างไรผมรู้หมดเลย ผมรู้ทั้งนั้นน่ะ แต่ผมจะปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ได้ เวลาผมปฏิบัติ ผมปฏิบัติไม่ถูกทาง ควรทำอย่างไร”

เพราะมันเลือกแนวทางไม่ได้ เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนนะ สอนพระสารีบุตรอย่างหนึ่ง สอนพระโมคคัลลานะอย่างหนึ่ง เวลาสอนสัญชัยอย่างหนึ่ง เวลาสอนโดยทั่วไปแตกต่างกันไป แตกต่างกันไปเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ ท่านรู้ถึงจริตนิสัย รู้ถึงจิตดวงนี้เคยสร้างบุญกุศลมามากน้อยแค่ไหน แล้วควรการงานหรือไม่ควรนะ ถ้ายังไม่ควรแก่การงานท่านยังไม่สอนนะ

มันมีในสมัยพุทธกาลไง จำชื่อไม่ได้นางอะไร เขาสวยงามมาก เขาไม่ยอมไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่านั่นก็เป็นอสุภะ นั่นก็ไม่สวยไม่งาม แต่เขารักสวยรักงามไง เขาไม่ยอมไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จนถึงที่สุดแล้วมันร่ำลือกันไปมาก วันนั้นเขาก็แอบไปไง แอบไปนั่งอยู่ไกลๆ เลยนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงธรรม แล้วท่านก็ทำนิมิตไว้ข้างตัวท่านให้เป็นเด็กอายุ ๑๒-๑๓ ขวบสวยมาก สวยสุดๆ เลย

ไอ้คนที่รักสวยรักงามเขาว่าเขาก็เป็นคนสวยนะ แต่พอเขาไปเห็นภาพนิมิตนั้นว่า อู้ฮู! ทำไมเขาสวยงามขนาดนั้น สวยกว่าเราอีก เราว่าเราสวยแล้วนะ แล้วติดด้วย ติดในสุภะคือความสวยงาม

แล้วท่านก็เทศนาว่าการไปนะ แล้วท่านเนรมิตให้ภาพนิมิตนั้นตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นสาว แล้วก็มีอายุมากขึ้น แก่ชราคร่ำคร่าไปพร้อมกันตลอดเวลานะ

เขานั่งดูอยู่น่ะ โอ้โฮ! เขาสังเวชมาก

นี่เวลาจริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกันไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการแต่ละคนก็อยู่ที่จริตนิสัยของเขา เขาเคยทำอย่างใด เขาเคยมีวาสนาอย่างใด

เวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วได้เป็นพระอรหันต์โดยฉับไว ได้เป็นพระอรหันต์โดนปานกลาง พระเขาจะมีความสงสัย เอ๊ะ! ทำไมมันเป็นอย่างนั้นๆ

พุทธกิจ ๕ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการพระตอนหัวค่ำ เวลาพระเทศนาว่าการ พระเวลาประชุมกันก็ถกเรื่องนั้นน่ะ ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำไมมันเป็นแบบนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เธออย่าพูดชาตินี้เลย ชาตินี้เขาเป็นอย่างนี้เพราะว่าจริตนิสัยเขาเป็นแบบนี้ เมื่อชาติที่แล้วเขาก็เป็นอย่างนี้ เมื่อชาติที่แล้วก็เป็นอย่างนี้ เมื่อชาติก่อนก็เป็นอย่างนั้นน่ะ

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เวลาว่าถ้าจิตใจของคนผู้ยังไม่พร้อม ท่านก็เทศน์อนุปุพพิกถา ท่านให้ทำทาน ทำทานคือสร้างบารมีของตน การเสียสละทานเป็นการสร้างบารมี สร้างอำนาจวาสนาของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นนิ่มนวลควรแก่การงาน พอเสียสละแล้วเห็นผลเห็นประโยชน์ไง เสียสละแล้วมันได้ประโยชน์ เสียสละแล้วจิตใจมันเป็นบุญกุศล จิตใจมันมั่นคงขึ้นมาแล้วท่านถึงเทศน์อริยสัจ

เริ่มต้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าอำนาจวาสนายังไม่มีนะ ท่านก็จะพูดพยายามให้เขาสร้างอำนาจวาสนาบารมีในใจของเขาขึ้นมาก่อน เวลาใจของเขาควรแก่การงานไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกว่า ถ้าจิตใจเขาควรแก่การงาน ท่านจะเทศน์อริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แต่คนที่ไม่ควรแก่การงาน พูดแล้วเขาไม่เข้าใจหรอก แล้วพูดไม่ได้ พูดแล้วเขารับรู้ไม่ได้ นี่พูดถึงว่าจริตนิสัยของคน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็มีจริตนิสัยของเรา คือว่าความชอบ ความเห็น ทิฏฐิมานะของเรา เป็นเรื่องของเรา แต่ในวงการปฏิบัติเวลาเราจะปฏิบัติแนวทางใด แล้วแนวทางนั้นมันจะตรงกับเราหรือไม่ตรงกับเรา

เราปฏิบัติแล้วไม่ตรงกับเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัยไว้ พระ พระถ้าเป็นนวกะยังไม่พ้นพรรษา ๕ ขึ้นไป เวลาไปอยู่สำนักใดต้องขอนิสัยๆ

คำว่า ขอนิสัย” ให้สังเกตให้ดูกันก่อนว่าอาจารย์นี้ท่านอบรมสั่งสอนอย่างนี้ เราเป็นพระบวชใหม่ เราฟังเทศน์ฟังธรรมดูวิธีการสั่งสอนของท่านว่าเข้ากับเราได้หรือไม่ ถ้าเข้ากับเราไม่ได้ เราก็จะไม่ขอนิสัยท่าน เราก็แยกไปสำนักอื่น

เวลาจะขอนิสัยเขายังให้ดูกันก่อนเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติตามแนวทางๆ ต่างๆ ถ้าแนวทาง ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ท่านก็จะสอน อย่างเช่นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสั่งหลวงตาไว้เลย “อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ จะไม่เสีย”

เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติมาถึงหลวงปู่มั่นจะนิพพาน หลวงตาท่านบอกท่านก็พยายาม ถึงเวลาจิตใจของท่านก็กำลังอสุภะอย่างเข้มข้น แล้วคนที่จะชี้นำก็จะนิพพานไปเสียแล้ว

หลวงปู่มั่นท่านสั่งไว้เลย อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ ถ้ามันสงสัยสิ่งใด มันรู้เห็นสิ่งใดที่มันเตลิดไปข้างนอก อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ ไม่เสีย

ถ้าไม่ทิ้งผู้รู้ ไม่ทิ้งพุทโธคือไม่ทิ้งตัวเราเอง ไม่ทิ้งบ้านเรือนของเรา ไม่ทิ้งหัวใจของเรา มันจะไม่เสีย

ส่วนใหญ่คนเรา เวลาลัทธิต่างๆ เขาบอก “ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นสมถะมันไม่มีวาสนา ต้องใช้ปัญญาไปเลย”

ปัญญาโลกๆ ปัญญาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันทิ้งบ้านของตัวเองไป พอทิ้งบ้านของตัวเองไปรู้ไปเห็นสิ่งใดขึ้นไปนั่นน่ะมันจะเสียๆ แต่คนที่ว่ามันจะเสียมันไม่บอกมันเสีย มันบอกว่ามันกำลังจะบรรลุธรรม

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าทิ้งผู้รู้ ทิ้งพุทโธ ทิ้งตัวเราไปแล้ว พอมันไปคิด มันส่งออกไปแล้ว ไปเจอสิ่งใดแล้วมันจะเตลิดเปิดเปิงไปไง นั่นน่ะมันจะเสีย

ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านบอกว่ามันจะเสีย มันจะเสียคือว่ามันจะวิตกจริต มันจะมีความทุกข์ความยากในใจของมัน

แต่คนที่หลง คำว่า หลง” หลงคือมันหลงใหลในกิเลส หลงใหลในมารที่มันปลิ้นปล้อน แล้วจิตก็ตามมันไปไง “โอ้โฮ! กำลังใช้ปัญญา โอ้โฮ! ปัญญาเลอเลิศ” นั่นน่ะเตลิดเปิดเปิงไปน่ะ มันยังไม่รู้ตัวเลยว่ามันส่งออกน่ะ เพราะอะไร เพราะมันทิ้งผู้รู้ มันทิ้งพุทโธ มันทิ้งบ้านเรือนของตน ทิ้งหัวใจของตนไป

ฉะนั้นบอกว่า ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ ในแนวทางประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเรา เรากำหนดผู้รู้ กำหนดพุทโธของเราตลอดไป

สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น มันจะรู้มันจะเห็น มันก็เกิดจากจิตนี่แหละ เวลาเราไม่ได้กำหนดพุทโธ เราไม่ได้รู้สิ่งใดเลย เราก็จินตนาการของเราไป มันเป็นอุปาทาน คำว่า อุปาทาน” นะ เพราะมันเป็นตัวตนของเราไง

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง วัตถุทั้งหลาย สภาวะอากาศทั้งหลายมันแปรสภาพของมันไปตลอดเวลา มันเป็นอนิจจัง แต่เป็นอนัตตานี่มันไม่มี

เขาบอก อนิจจังกับอนัตตามันก็อันเดียวกันไง

อนิจจังเป็นสสาร เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต อนัตตาๆ อัตตาตัวตนนั่นเป็นเรื่องของจิต เวลาจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ นี่กำเนิด ๔ กำเนิดเป็นเรา แต่ก่อนที่ไม่กำเนิดมันมาจากไหนล่ะ

แล้วกำเนิดมาแล้วเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นคนๆ เรามีกายกับใจๆ ร่างกายนี้มันเป็นวัตถุธาตุ ธาตุ ๔ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นความรู้สึกนึกคิด มันเป็นสถานะของมนุษย์ไง

ทีนี้เราก็ใช้ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่จิตนี้เราโยนทิ้งมันไป เราเขวี้ยงทิ้งเลย เราไม่เข้าใจว่าเรามีจิต เราจะมีแต่อารมณ์ มีความรู้สึกอยู่นี่

อารมณ์ความรู้สึกเกิดจากจิต แต่ไม่เคยเห็นจิต

ทีนี้เวลาครูบาอาจารย์เราให้พยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จะเข้าสู่จิตดวงนี้ไง

เพราะว่าสัจจะในพระพุทธศาสนา เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำตบะธรรม ตบะธรรมในการประพฤติปฏิบัติ เขาเรียกจิตตภาวนา

ไม่ใช่กายภาวนา ไม่ใช่อารมณ์ภาวนา ไม่ใช่ความพอใจภาวนา อุปาทานภาวนา จะกระเสือกกระสนจะเอาให้ได้ เตลิดเปิดเปิงไปนี่เสียหมด แต่เขาขาดครูบาอาจารย์ เขาขาดผู้รู้ไง ฉะนั้น เขาขาดผู้รู้ เขาไม่ได้ฝึกฝนมาเขาก็ทำอย่างนั้น เวลาเขาทำอย่างนั้น นั้นก็เรื่องของสังคม

เราจะบอกว่า ในการประพฤติปฏิบัติมันมีแนวทางหลากหลายทั้งสิ้น อย่างไรก็ได้ นี่ก็เหมือนกัน แนวทางปฏิบัติอะไรก็ได้ แต่มันมีเหตุมีผลไหม

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล

เหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ก็เหตุผลทางโลกไง วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้

พุทธศาสน์ มรรค ๘ ต่างหากจะแก้กิเลส

เพราะกิเลสเป็นนามธรรม วิทยาศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ที่คงที่ตายตัวตามทฤษฎีนั้น แล้วจริงด้วย จริงตามนั้นน่ะ แล้วถ้าอธิบายธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ ก็วิทยาศาสตร์ไง เราก็อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ แต่มันมีเกร็ดนะ เกร็ดที่มันจะพลิกเข้ามาในใจของเรานี้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นภาษาสมมุติ ภาษาสื่อสาร ภาษาทฤษฎี

แต่ถ้าเป็นภาษาธรรมๆ ภาษาธรรมภาษาความรู้สึก ภาษาความรู้สึก ความสุขความทุกข์นี้

ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติตามครอบครัวกรรมฐานตามที่หลวงปู่มั่นท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ แล้วเราปฏิบัติไว้ เราจะเอาข้อเท็จจริง เราไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้สัญญา ไม่ใช่ความต้องการ ไม่ใช่ต่างๆ เป็นการตรึกในธรรม

พยายามทำความสงบของใจให้ได้ ทำความสงบของใจให้ได้ ให้ใจมันสงบระงับเข้ามา ถ้าใจสงบระงับมันจะมีความสุข มันจะมีความสุข มันจะมีแก่ใจในการปฏิบัติ เพราะอะไร

เพราะคนเรามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากเพราะอะไร เพราะว่ามันมีเวรมีกรรม แล้วการที่มีเวรมีกรรม หนี้เวรหนี้กรรม มีหนี้เวรหนี้กรรมเพราะอะไร เพราะมีการกระทำทั้งสิ้น

กรรมดี เพราะเราทำกรรมดีเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเราทำกรรมดีเราถึงมีจิตใจจะฝึกฝนค้นคว้าเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราถึงจะหาความจริง เรามีกรรมดี แต่ดีและชั่ว ดีและไม่ดี

แต่พระพุทธศาสนา ความสมดุลพอดี มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลพอดี ไม่ใช่ว่าดีและชั่วที่มันสุดโต่งไปตามความพอใจของตนโดยไม่มีเหตุมีผล เวลามันจะมีเหตุมีผลขึ้นมา เหตุผลขึ้นมามันต้องเป็นเหตุผลภาวนามยปัญญา นี่จิตตภาวนา ภาวนาเกิดจากจิต ภาวนาเกิดจากความรู้สึกของเราที่มันจะไปรื้อค้นปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันจะไปรื้อเหตุรื้อผล มันจะไปทำลายชนวนสิ่งที่จะพาเราไปเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติมันต้องหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธตามสัจจะความจริงของเรา

แล้วถ้าที่ไหนเขาบอกว่า “โอ๋ย! มันเป็นสมถะ มันเป็นตัวตน”

เออ! จุดเริ่มต้นในการทำคุณงามความดีมันก็ต้องฝึกหัดมาจากเริ่มต้นทั้งนั้น เวลาเริ่มต้นขึ้นมา ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา การเริ่มต้นนั้นเขาเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เขาทำเป็นชีวิตประจำวันของเขาอยู่แล้ว แล้วถ้าทำเป็นประจำวันในชีวิตของเขาแล้ว ถ้าเขาทำให้ดีขึ้นๆ มันก็พัฒนาขึ้น นี่อยู่ที่วาสนา

ไอ้ของเรานี่นะ เราก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน เราก็อยากจะทำคุณงามความดีเหมือนกัน แต่เราทำแล้วเรายังจับต้นชนปลายไม่ได้ มันถึงว่าต้องมาทำความสงบของใจเข้ามาก่อน การทำความสงบของใจของเรา เราก็ค้นคว้าหาหัวใจของเรา แล้วสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แล้วทำถูกต้องดีงามมันจะเกิดอนัตตา อนัตตาตามความเป็นจริงนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้น การเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากประเด็นในใจไง เกิดขึ้นจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม

พระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมแล้วใช้สติปัญญาใคร่ครวญ นี่เกิดขึ้น เกิดขึ้นในใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวง...” ใช้ปัญญา “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันต้องดับไปเป็นธรรมดา” นี่ไตรลักษณ์ นี่ไม่ใช่อนิจจัง

อนิจจัง สรรพสิ่ง วัฏฏะเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอนิจจัง จักรวาลเป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย

แล้วชีวิตของคนก็เหมือนกัน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเกิดตายๆๆ ไม่มีคงที่เลย แต่ก็ค้นหาสิ่งใดไม่เจอ แต่ถ้าค้นหาสิ่งใดเจอก็ต้องค้นหาหัวใจของตนให้เจอก่อน ถ้าค้นคว้าหาหัวใจของตนให้เจอ นี่จิตมันจะสงบเข้ามา

ขนาดสงบแล้วนะ ฤๅษีชีไพรก็ทำความสงบเหมือนกัน สมาธิๆ มันมีมาอยู่โดยดั้งเดิมอยู่แล้ว ก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรม ฤๅษีชีไพร ภาษาโลก ภาษาพวกอภิญญา พวกโลก พวกที่อยู่กับวัฏฏะที่ไม่มีอำนาจวาสนาเขาทำกันมาตลอดอยู่แล้ว แต่เพราะมันเป็นมิจฉาสมาธิ สมาธิตัวตนในใจของตนไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบสิ้นไป

นี่พูดถึงว่าโดยหลักการ โดยหลักการในการประพฤติปฏิบัติไง การทำความสงบของใจเข้ามามันถึงว่าเป็นพื้นฐานของผู้ปฏิบัติ

แต่ว่า ใช้ปัญญาๆ ไปเลย ใช้แนวทางปฏิบัติไหนเขาก็ดั้นด้นของเขาไป ด้นเดา ธรรมะด้นเดา ด้นเดาโดยทฤษฎี ด้นเดาโดยทางวิชาการของเขา เขาบอกว่านี่เป็นการปฏิบัตินะ ปฏิบัติโดยการด้นเดากันไปนะ

แต่เวลาของเรา เราจะกลับมาที่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วพอหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราทำความสงบของใจเข้ามา เราหายใจแล้วเรากำหนดพุท กำหนดโธ คือจิตเรากำหนดอยู่ที่ลมนี้ มันไม่ไปเกาะเกี่ยว ไม่ส่งออกไปเรื่องจักรวาล ส่งออกไปเรื่องโลก มันอยู่แค่ลมที่ปลายจมูกของเรา ลมที่เกิดจากเรา แล้วลมที่เกิดจากเรา สติมันอยู่ที่นี่ จิตมันก็อยู่ที่นี่

พอจิตมันอยู่ที่นี่ขึ้นมาแล้ว เราทำของเราบ่อยครั้งเข้า มันถึงเป็นผลของการถามของผู้ที่ปฏิบัตินี่ไง “เวลากำหนดพุทโธ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก กำหนดดูเวลาลมมันเริ่มเบาบางลง ก็ลองใช้ปัญญาไป เห็นร่างกายละลายเหมือนขี้ผึ้งเลย”

ไอ้กรณีนี้ ละลายเหมือนขี้ผึ้งต่างๆ มันเป็นนิมิต เป็นสิ่งที่เราเห็นก็ได้ แล้วถ้ามันละลายไปแล้วมันเหลือแต่โครงกระดูกไง พอโครงกระดูกแล้วเหลือแต่ผู้รู้ เหลือแต่การรู้ลม

นี่พูดถึงว่าความดีในการประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ มันต้องมีหนักมีเบา เวลากิเลสที่มันรุนแรงเราก็ต้องตั้งสติแล้วกำหนดลมชัดๆ มีกำลังที่เข้มแข็งต่อสู้กับมัน แล้วถ้าขณะที่บางวันอารมณ์ความรู้สึกมันเบาบาง มันไม่มีสิ่งใดที่ฟุ้งซ่าน เราก็ทำพอปานกลาง คือว่ากำหนดไม่รุนแรงเกินไป ให้มันสมควรต่อกัน

แล้วถ้ามันมีความสงบระงับบ้าง มันดีเป็นพักๆ มันเป็นพักๆ มันเป็นขั้นเป็นตอนของมัน แล้วเดี๋ยวมันก็เจริญ เดี๋ยวมันก็เสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ถ้ามันเจริญขึ้นมา มันเจริญขึ้นมา มันสงบระงับ มันดีงาม เราก็อยู่กับมันอย่างนั้น แล้วรักษาไว้ๆ ทำของเราต่อเนื่องไป ทำของเราต่อเนื่องไป

สิ่งที่เขาเห็นมา สิ่งที่ว่า เวลามันฝึกหัดใช้ปัญญา เห็นร่างกายละลายเหมือนขี้ผึ้งเลย

อันนี้มันเป็นคุณสมบัติของเรา แล้วถ้าเราทำได้ มันเป็นปัญญาของเรา ปัญญาของเราว่าเป็นพักๆๆ เพราะมันเห็นแล้วมันมีครูบาอาจารย์ใช่ไหม บอกว่า ให้อยู่กับผู้รู้ ให้อยู่กับลม สิ่งนั้นมันก็เป็นแค่เงาๆ

เงาๆ มันก็เป็นการฝึกหัด เป็นผลการปฏิบัติ แล้วก็กลับมาพุทโธต่อเนื่องไป

แล้วพอต่อเนื่องไป เขาก็จับปัญญา จับว่า แล้วถ้ามันรู้ลม มันจะทิ้งความรู้จากลมเป็นนิมิต เป็นดวงแก้ว แล้วมีฉุกคิดขึ้น

เราบอกว่า ถ้าเป็นปัญญาก็ได้

ว่าเป็นการฉุกคิดขึ้นว่า ปัญญามันก็ไม่เที่ยง เอาขวานฟันมันเลย เขาว่านะ

เอาขวานฟันมันเลยมันไม่ได้ใช้ปัญญา เอาขวานฟันนี่เป็นอุปมาอุปไมย

เวลาดวงแก้วมันโดนแตกทำลายไป มันก็มีดวงผู้รู้ข้างในอีก

นี่เวลาคนที่ไม่นั่งหลับ ไม่นั่งหลับ ไม่เป็นอุปาทาน ทำสิ่งใดไปแล้วมันเห็นชัดเจนของมันไง

ดวงภายนอก ทำลายดวงข้างนอกออกมันก็มีดวงข้างใน ทำลายดวงข้างในไปแล้ว ดวงข้างในยังมีพระพุทธเจ้านั่งอยู่อีก

นี่มันเป็นนิมิต มันเป็นความเห็นต่างๆ เป็นของบุคคลนะ แล้วถ้าไปบางสำนักเขาบอก “อู้ฮู! นี่ติดนิมิต นี่มันเป็นนิมิต”

มันจะเป็นนิมิต มันจะรู้จะเห็นเพราะเราประพฤติปฏิบัติ คนเรานะ เหนื่อยยากมา ได้หยุดพักมันก็มีความสบายใจแล้ว หยุดพักแล้วถ้ามันได้หลับได้นอนยิ่งสบายเข้าไปใหญ่

นี่ก็เหมือนกัน เวลาคนมันภาวนาไปแล้ว พอจิตมันสงบแล้วมันก็เห็นนิมิตบ้าง แล้วถ้าเราทำความสงบมากขึ้นไปมันก็ละเอียดเข้าไป ถ้าเรามีผู้รู้ เรายังมีพุทโธอยู่ เรามีสติปัญญาอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นเรามีสติปัญญาอยู่ เราก็คัดเลือกเราก็แยกของเราว่า อะไรมันเป็นนิมิต อะไรมันเป็นผู้รู้ อะไรมันเป็นธรรม มันอยู่ที่จริตนิสัย

คำว่า จริตนิสัย” ใครภาวนาไปอย่างใด มันก็จะต้องเห็นผลเป็นอย่างนั้น ถ้าเห็นผลเป็นอย่างนั้น นี่คือกรรมไง คือการกระทำที่มันเป็นจริตนิสัยที่มันมากับจิตไง พอมันรู้สิ่งใดแล้ว เพราะคนเรามันก็มีความเห็นผิดความเห็นถูกอยู่ในตัวมันเองอยู่ทุกขณะ แล้วถ้ามีสติปัญญามันก็คัดก็แยกเข้าไปสิ พอมันคัดแยกเข้าไป เห็นไหม

เวลาเห็นเป็นดวง ดวงภายนอก ดวงภายใน แล้วดวงภายในยังมีดวงพระพุทธเจ้าอีก ยังไปเดินจงกรมกับพระพุทธเจ้าอีก

ไอ้นี่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เราวาง แล้วก็กลับมาผู้รู้ กลับมาพุทโธของเราต่อเนื่องไป

นี่มันดีเป็นพักๆ ไง ถ้ามันเห็นเป็นดวงภายนอก ดวงภายใน วันนี้ภาวนาดีก็มีความสุข วันไหนภาวนาแล้วมันติดขัดไปหมดเลย มันไม่ได้อะไรเลย วันนั้นก็เป็นความทุกข์

การรักษาใจแสนยาก การทำคุณงามความดี ทำทาน ทำศีล ภาวนา ทาน ทำทานขึ้นมา แสวงหามาทำทานก็เป็นความทุกข์ยากอันหนึ่ง รักษาศีลนี่ขยับไม่ได้เลยก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง เวลาทำความสงบของใจเข้ามานี่มันดีขึ้นมา

ฉะนั้นบอก มันไม่ใช่จะทำได้ทุกวันๆ หรอก แต่เราก็พยายามฝึกหัดของเรา ฝึกหัดของเราให้มันเป็นไปให้มันดีขึ้นมา ถ้าดีขึ้นมามันก็จะเป็นประโยชน์กับเรานะ

ความดี ดีเป็นพักๆ แล้วถ้ามันยังมีศรัทธามีความเชื่อมีความมั่นคงอยู่ ทำสิ่งใดมันมีกำลังใจทำ ถ้ามันทำแล้วมันลงทุนลงแรงนะ นั่งสมาธิ เดินจงกรมนี้เหนื่อยนะ ยังต้องเอาเวลาอีก ต้องตั้งสติอีก เวลามันชักอ่อนแอแล้วมันบอก เลิกเถอะๆ

การรักษาใจ เรารักษาของเรา ทำประโยชน์กับเรา

นี่พูดถึงว่า เพราะบอกว่า จะอธิบายถึงการภาวนาของเรามาก่อน แล้วถ้ารายงานผลการปฏิบัติ แล้วถ้าปฏิบัติแล้วถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้วมันก็เป็นประสบการณ์ เป็นกำลังของตนนะ แล้วเราทำของเราต่อเนื่องไปๆ

ฉะนั้น เวลาเข้าคำถาม “เวลาโยมนั่งภาวนาแล้วกำหนดให้ผู้รู้รู้ลมพร้อมพุทโธ แต่เห็นเป็นพระพุทธเจ้านั่งสมาธิในดวงพุทโธได้ไหมครับ หรือนึกพุทโธธรรมดาครับ”

ให้นึกพุทโธธรรมดาต่อเนื่องไป

พุทโธธรรมดาต่อเนื่องไป ถ้าพุทโธๆ แล้วพอจิตมันสงบแล้ว สิ่งที่ว่าเวลาภาวนาไปแล้วเห็นพระพุทธเจ้า เห็นดวงแก้ว เห็นพุทโธ มันก็เกิดจากพุทโธของเรานี่แหละ ถ้าเราไปเอาที่นามธรรม เอาสิ่งที่เรารู้เราเห็นเป็นภาพนิมิตนี้ส่งออกไป แล้วเราตามไปนะ หมดเลย

เพราะว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสั่งเสียหลวงตาไว้แล้ว

อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ

ฉะนั้นบอกว่า ถ้ากำหนดรู้ลมก็ได้ รู้พระพุทธเจ้านั่งอยู่ในสมาธิก็ได้ รู้ดวง

ไม่ใช่ ต้องกลับมารู้พุทโธ แล้วถ้าเห็นสิ่งใดแล้ว วางๆๆ พุทโธต่อเนื่องไป

คำว่า รู้เห็น” มันไปรู้เห็นนะ ถ้าจิตสงบแล้ว มีกำลังแล้ว ให้น้อมไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม ไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้ามันเห็นได้

การเห็นได้ เรานะ เราดื่มน้ำ มันก็มีรสชาติของการดื่มน้ำนะ เรากินต้มยำ มันก็มีรสชาติของต้มยำนะ รสชาติที่มันแตกต่างกัน เห็นไหม จิตสงบเป็นสมาธิมันก็เป็นสมาธิ มันก็เหมือนกับเราดื่มน้ำนะ ถ้าจิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมต่างๆ มันมีรสชาติ มันแตกต่างกันอย่างนี้ไง

บอกว่า เห็นไอ้นี่เป็นอย่างไร เห็นไอ้นั่นเป็นอย่างไร

เห็นน่ะมันบอกถึงความรู้เลย บอกถึงผลการประพฤติปฏิบัติเลย แล้วถ้ามันเห็น เห็นนั้นมันกระเทือนหัวใจ อันนั้นถึงจะเป็นประโยชน์ไง

ฉะนั้นบอกว่า “๑. เวลานั่งภาวนาไปแล้วให้กำหนดรู้ลม กำหนดพุทโธ แต่เห็นเป็นพระพุทธเจ้านั่งสมาธิ หรือเป็นดวงพุทโธได้ไหมครับ หรือพุทโธธรรมดาครับ”

พุทโธธรรมดาต่อเนื่องไป ไม่พลิกไม่แพลงให้กิเลสมันมีช่องทางที่จะเข้ามาสอดได้

ถ้าเราพลิกเราแพลงไปมีช่องว่างนะ กิเลสมันจูงเลย แล้วกิเลสมันจูงไปแล้ว พอมันไปแล้ว อย่างที่ว่ามันเตลิดไปเลย “โอ้โฮ! ภาวนาอย่างนี้ดี๊ดี แหม! หลงพุทโธอยู่ตั้งนาน” ดี๊ดีไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ไปล้มอยู่ข้างหน้านั่นน่ะ เพราะเราทิ้งหัวใจของเรา เราทิ้งพื้นฐานของเรา

พอเราทิ้งพื้นฐานของเรา เหมือนเรามีบ้านอยู่นี่ ไปไหนมาเราก็กลับบ้าน เราได้พักผ่อนอยู่ในบ้านของเรา เราทิ้งบ้านทิ้งเรือนของเราไปอาศัยคนอื่นเขาอยู่นะ พอเขาขับไล่นี่จบเลย ไม่มีที่อยู่

คำว่า ไม่มีที่อยู่” หมายความว่า จิตมันล่องลอย จิตมันไม่มีบาทฐานไง แล้วมันจะไปของมันเรื่อยเปื่อย แต่กำหนดพุทโธๆๆ พอจิตสงบแล้ว ที่มันรู้มันเห็นเกิดภาพนิมิต เกิดต่างๆ อันนั้นรู้แล้ววาง พอรู้แล้วมันยิ่งสงสัยไง กำหนดรู้พุทโธๆ อยู่นี่เรื่องหนึ่ง ไปเห็นพุทโธในลมหายใจอีกเรื่องหนึ่ง แล้วมันจะเตลิดไปนู่นเลย

เวลาประพฤติปฏิบัตินะ ไม่ใช่ว่าเราประพฤติปฏิบัติแล้วกิเลสมันจะยอมเรานะ กิเลสมันจะเชิดชูเรา ไม่ใช่หรอก กิเลสมันรอเวลา รอเวลาเอ็งเสื่อมน่ะ รอเวลาเอ็งง่วงนอนน่ะ รอเวลาเอ็งเผลอ ถ้าเอ็งไม่เผลอ ก็นี่ไง อู๋ย! นู่นก็ดีกว่า นี่ก็ดีกว่า มันจะเตลิดไปนู่นไง

พุทโธธรรมดานี่ สิ่งที่เห็นดวงแก้ว เห็นเป็นพระพุทธเจ้า ก็เกิดจากพุทโธธรรมดานี้ไม่ใช่หรือ มันเกิดจากพุทโธธรรมดานี่แหละ แล้วกลับมาพุทโธธรรมดาไว้ จิตใจก็มั่นคง จิตใจก็มีจุดยืน ถ้าลองไปที่อื่นนะ เดี๋ยวจบ เพราะมันไม่มีจุดยืน มันทิ้งหัวใจแล้วมันไม่มีที่ยึดมั่น มันไปหมด

ฉะนั้น ให้มาที่พุทโธเรื่อยๆ พุทโธธรรมดานี่แหละ พุทโธธรรมดา พุทโธๆ พุทโธมันจะมหัศจรรย์ มันจะละเอียด เราพุทโธๆ พุทโธจนตัวเองเป็นพุทโธนะ พุทโธไม่ได้เลยล่ะ ไม่ได้เดี๋ยวค่อยว่ากัน ให้เป็นอย่างนั้นก่อนแล้วค่อยว่า พูดไปก่อนมันจะเป็นการคาดหมาย นี่ข้อที่ ๑.

“๒. ถ้าโยมใช้กำหนดผู้รู้อยู่กับพุทโธ และเวลาคิดส่งออกหรือเจอเวทนา หรืออารมณ์ โยมใช้กำหนดว่าอนิจจังไม่เที่ยงตลอด และกลับมาที่พุทโธเรื่อยๆ โดยไม่คาดผลที่จะได้ วิธีนี้ใช้ตลอดไปได้ไหมครับ”

นี่แหละ ใช้วิธีนี้ตลอดไป

เราพุทโธๆ ของเรา เราพุทโธของเราจนจิตมันสงบแล้วเราพุทโธไปเรื่อย พุทโธจนพุทโธไม่ได้ จิตมันจะละเอียดมากขึ้นๆๆ แล้วสิ่งที่รู้เห็นๆ วางๆๆ

รู้เห็นได้ไหม ได้ เขาบอกว่าเขาเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ในดวงแก้ว แล้วเขาเดินจงกรมตามหลังพระพุทธเจ้า นี่เห็นเขาเดิน

ไอ้นั่นถ้าเป็นการคาดการหมายว่าเราจะไปกับพระพุทธเจ้าแล้วนะ แต่ความจริงไม่ใช่ ความจริงมันเป็นแค่นิมิตเท่านั้นแหละ

ถ้าเราจะรู้จะเห็นจะตามพระพุทธเจ้าได้ต้องเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นแล้ว พอเห็นแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาว่า ทุกข์มันเกิดจากอะไร อะไรมันเป็นเหตุให้ทุกข์ ทุกข์ต่างๆ ถ้าเห็นกายก็พิจารณาว่ากายมันเป็นอนิจจังหรือมันแปรสภาพ พิจารณาไป นี่คือปัญญา ที่จะตามพระพุทธเจ้าทันมันก็ต้องศีล สมาธิ ปัญญา

ที่จะเดินจงกรมตามหลังพระพุทธเจ้านั่นเป็นนิมิต เป็นความคาดหมาย แต่ถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ปัญญาเกิดจากมรรค ปัญญาเกิดจากการภาวนา อันนี้ต่างหากที่จะตามพระพุทธเจ้าได้

การจะตามพระพุทธเจ้าได้มันจะตามพระพุทธเจ้าด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยมรรคด้วยผล ด้วยภาวนามยปัญญา มันจะพยายามชำระล้างกิเลสขึ้นไป จะตามพระพุทธเจ้าไปด้วยวิธีการนี้

ฉะนั้นบอกว่า เราจะทิ้งพุทโธแล้วจะใช้ปัญญาอย่างนั้น เราจะใช้ปัญญาอย่างไร ไม่เอา กลับมาที่พุทโธนี้ แล้วปฏิบัติไปโดยที่ไม่ต้องไปคาดหวัง

คำว่า คาดหวัง” คือเราไปล็อกสเปก คาดหวัง เหมือนกับที่ว่ารู้ไว้ก่อนๆ มันจะเป็นอย่างนี้ๆ มันสร้างภาพหมดน่ะ

ไม่ต้องคาดหวังใดๆ เลย อะไรจะเกิดขึ้นให้เป็นปัจจุบัน ให้มันรู้สัจจะความจริงเป็นเดี๋ยวนั้นเลย ไม่คาดไม่หวัง

ถ้าคาดหวังนะ เพราะเราคาดหวัง เราหวังผลกันมาก เวลาปฏิบัติเราถึงได้ทุกข์กันอยู่นี่ไง “ไม่ได้สมาธิเสียที ไม่ได้ปัญญาเสียที” นี่กิเลสซ้อนกิเลส

โดยธรรมชาติของเรามันมีกิเลสทำให้เราหลงใหลอยู่แล้ว แล้วเรายังไปสร้างอีกว่าเราจะได้อย่างนั้นๆๆ เมื่อนี้จะได้อย่างนั้น นี่มันเป็นกิเลสซ้อนเข้าไปนะ กิเลสซ้อนกิเลส กิเลสสองชั้นน่ะ ทุกข์เข้าไปอีก

ฉะนั้นบอกว่า ปฏิบัติไปโดยไม่ต้องคาดหวัง แล้วใช้วิธีนี้ตลอดไปได้ไหม

นี่แหละทางเดิน มรรค มรรคคือศีล สมาธิ ปัญญา มรรคคือดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ แล้วเราก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธตลอดของเราไป แล้วถ้ามันเกิดสิ่งใด เราใช้ปัญญาแยกแยะแล้วมันก็ปล่อยวาง ถ้ามันมีสติปัญญานะ มันจะจบ

คำว่า ปล่อยวาง” หมายความว่า เราจะรู้เราจะเห็นสิ่งใดก็แล้วแต่ นี้คือโจทย์ นี้คือเหตุผลที่เราใช้ปัญญาพิจารณาแล้วมันจะปล่อยมันจะลึกเข้าไป ปล่อยแล้วมันจะต่อเนื่องไป มันจะก้าวหน้าไป ถ้ามันปล่อยมันจะก้าวหน้าไป

ถ้าไม่ปล่อยมันติดตรงนี้ นี่ไง เวลาเขาแต่งงาน ประตูขันหมาก ผ่านประตูไม่ได้ ไม่ได้เจ้าสาว ประตูแต่ละชั้นไง นี่ก็เหมือนกัน มันก็มาหลอกทีละชั้นๆ ดวงแก้ว ดวงแก้วในดวงแก้ว ในดวงแก้วมีพระพุทธเจ้า มีอยู่นั่นน่ะ นี่มันเป็นประตูๆๆ ที่เราจะผ่านไปๆ

พอมันผ่านไป สุดท้ายก็พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือพุทโธ พุทธะคือธาตุรู้ พุทธะคือหัวใจของเรา ภวาสวะ ภพชาติอยู่ที่นี่ ภพชาติอยู่ที่ปฏิสนธิจิต พอเข้าไปสู่ที่นั่นแล้ว พิจารณาไปอย่างนี้ ทิ้งไปเป็นชั้นๆๆ เข้าไป

ฉะนั้นที่ว่า ควรทำอย่างใดดี

กำหนดพุทโธเป็นเรื่องธรรมดา พุทโธไปเรื่อยๆ ธรรมดาๆ นี่แหละ พระที่ดีๆ พระพุทธเจ้าก็เป็นพระธรรมดา หลวงปู่มั่นยิ่งธรรมดาใหญ่เลย ท่านเป็นพระป่า เป็นพระชาวบ้าน เป็นพระอยู่กับพวกชาวไร่ชาวนา เป็นพระธรรมดา เป็นพระชาวบ้าน ไม่มีอะไรวิเศษวิโสหรอก แต่หัวใจยอดเยี่ยม หัวใจนี้สุดยอด เทวดามาฟังธรรม มาฟังธรรมพระธรรมดาๆ นี่ ไม่ได้ฟังพระยอดเยี่ยมที่ไหนหรอก ฟังพระธรรมดาๆ นี่

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธธรรมดาๆ นี่แหละ พุทโธ พุทธะในหัวใจเรานี้ แล้วทำของเราโดยไม่ต้องคาดหมาย เพราะโดยไม่ได้คาดหมายไง มันถึงรู้ถึงเห็นอย่างนี้ ถึงรู้ถึงเห็นกิเลสเอามาล่อ “นี่นะ พุทธะนะ นี่นะ พระพุทธเจ้านะ” มารปลอมตัวมาก็ได้ ทุกอย่างปลอมตัวมาก็ได้

แต่เราพุทโธของเราไปเรื่อย พุทโธไปแล้วสติปัญญามันจะแยกแยะเอง ถ้าของไม่จริงมันต้องเป็นอนิจจัง มันต้องสลายไป ของที่ไม่จริงมันจะอยู่กับเราไม่ได้

เพราะพุทธะในหัวใจของเรามันของจริง จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้ของจริง เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ทุกข์จริงๆ แล้วเวลามันสุขเกิดจากการปฏิบัติมันก็สุขจากใจเราจริงๆ ถ้ามันเป็นความจริงอย่างนี้ ความจริงที่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไง

ฉะนั้น ปฏิบัติโดยไม่คาดหวังผลที่จะได้ แล้วใช้วิธีนี้ตลอดไป เพราะใช้วิธีนี้มา มันถึงได้เห็นผลที่ในการปฏิบัติมา

ที่จิตมันสงบระงับ ที่เห็นเป็นโครงกระดูก เห็นเป็นขี้ผึ้งละลาย

ไอ้นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัตินะ ท่านเห็นเป็นร่างกายของท่านแล้วมันสลายไป นั้นจิตท่านสงบแล้วท่านเห็นกายของท่านตามความเป็นจริง ให้พิจารณากายๆ

แต่ของเราจิตมันสงบระงับบ้าง แล้วเห็นเป็นขี้ผึ้ง เห็นเป็นขี้ผึ้งแล้วมันละลายไปแล้วมันเป็นเงาๆ เขาบอกว่ามันเป็นเงาๆ เห็นแค่เงาๆ

เงาๆ เพราะจิตเรามันยังไม่มั่นคงพอ แต่การเห็นอย่างนี้มันก็เป็นการฝึกหัด เป็นการยืนยันว่า คนที่ปฏิบัติแล้วมันมีเหตุมีผล มีการกระทำ แล้วมันเป็นประโยชน์กับผู้ที่ปฏิบัตินั้นเอง

ผู้ที่ปฏิบัตินั้นเอง หมายความว่า เราเป็นชาวพุทธ แล้วเราประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราจะรู้เราจะเห็นด้วยมาตรฐาน ด้วยวุฒิภาวะของใจที่ต่ำหรือสูงขนาดไหนจะเห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้นชัดเจนๆ ตลอดไป แล้วถ้าวุฒิภาวะมันเจริญขึ้นโดยที่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ

อย่าให้กิเลสมันชักนำ อย่าให้บอกว่า “อู้ฮู! พิจารณาแล้วเห็นกาย กายเป็นกระดูกละลายหมดเลย แล้วผมได้อะไร”

ได้ความหลงไง

สิ่งที่ทำอยู่นั่นเป็นความจริง ให้เห็นจากหัวใจของตน แต่ความหลง หลงว่าฉันได้อะไร เพราะอะไร เพราะไม่รู้ว่าได้อะไร ก็มันจะได้อะไรล่ะ

ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกมันรู้ชัดๆ กลางหัวใจนะว่า ฉันได้อะไร เสียอะไร อะไรกิเลสตายไปจากใจอย่างไร เกิดขึ้นมาอย่างไร แล้วตายอย่างไร แล้วรู้อย่างไร นั้นเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในการประพฤติปฏิบัติ

ฉะนั้นบอกว่า ปฏิบัติแล้วก็มีความดีนะ มีคุณประโยชน์ เพราะปฏิบัติแล้วมันเห็นผลน่ะ

เพราะถ้าเราเกิดมาเป็นคน เรามีหน้าที่การงานของเรา เราต้องมีอาชีพของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรา นั้นเป็นการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องในชีวิตนี้ แล้วการประพฤติปฏิบัติมันสร้าง สร้างบุญกุศล สร้างกรรมดีกับหัวใจนี้ สร้างอำนาจวาสนาบารมีในใจ

ทำดีโดยที่ไม่มีใครรู้ ทำดีโดยเราทำดีโดยใจเราเอง แล้วใจเราจะรู้ใจเราเองว่าดีหรือชั่ว แล้วใจเราเองมีคุณสมบัติอย่างไร นี่เป็นสมบัติของหัวใจ นี่การธรรมปฏิบัติมันได้ผลประโยชน์ตรงนี้ แล้วถ้ามีอำนาจวาสนาให้ปฏิบัติต่อเนื่องไป แล้วถ้ามันทุกข์มันยาก เราก็ทุกข์ยากพอสมควรของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเราเนาะ เอวัง